ลักษณะความคุ้มครองและผลประโยชน์ แบบการประกันชีวิต

ลักษณะความคุ้มครองและผลประโยชน์ แบบการประกันชีวิตพื้นฐานมีอยู่ 4 แบบคือ
1.แบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance) คือการประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีพ โดยบริษัทฯ จะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในขณะที่กรมธรรม์มีผลบังคับ วัตถุประสงค์เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับจุนเจือบุคคลที่อยู่ในความอุปการะเมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต หรือเพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการเจ็บป่วยครั้งสุดท้ายและค่าทำศพ หรือใช้สำหรับชำระหนี้ก้อนสุดท้าย
2.แบบชั่วระยะเวลา (Term Insurance) คือการประกันชีวิตที่บริษัทฯ จะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลาเอาประกันภัย วัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร การประกันชีวิตแบบนี้ไม่มีส่วนของการออมทรัพย์ และไม่มีเงินคืนให้หากผู้เอาประกันภัยอยู่จนครบกำหนดสัญญา เบี้ยประกันภัยจึงต่ำกว่าแบบอื่น ๆ
3.แบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance) คือการประกันชีวิตที่บริษัทฯ จะจ่ายเงินให้แก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา หรือจ่ายเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตลงภายในระยะเวลาเอาประกันภัย การประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์เป็นส่วนผสมของการคุ้มครองชีวิตและการออมทรัพย์ ซึ่งส่วนของการออมทรัพย์คือส่วนที่ผู้เอาประกันภัยได้รับเงินคืนเมื่อสัญญาครบกำหนด
4.แบบบำนาญ (Annuities Insurance) คือการประกันชีวิตที่บริษัทฯ จะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเท่ากันอย่างสม่ำเสมอให้แก่ผู้เอาประกันภัยทุกเดือนหรือทุกปี นับแต่ผู้เอาประกันภัยเกษียณอายุ หรือมีอายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปี เป็นต้นไป สำหรับกำหนดเวลาการเริ่มจ่ายเงินบำนาญและระยะเวลาการจ่ายเงินบำนาญขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในกรมธรรม์ที่กำหนดไว้ ซึ่งผู้เอาประกันภัยควรพิจารณาเลือกแบบบำนาญให้ตรงกับแผนการใช้เงินในอนาคตของตน
- ลักษณะความคุ้มครองและผลประโยชน์ แบบการประกันชีวิตพื้นฐานมีอยู่ 4 แบบ
1.แบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance)
- ให้ความคุ้มครองตลอดชีพ
- เบี้ยค่อนข้างถูก นิยมนำสัญญาเพิ่มเติมมาพ่วงด้วย เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชย อุบัติเหตุ หรือโรคร้ายแรง เลยเรียกว่าประกันสุขภาพ
- จ่ายเบี้ยประกันช่วงระยะเวลาหนึ่ง (5-20)
- บริษัทฯ จ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในขณะที่กรมธรรม์มีผลบังคับ
วัตถุประสงค์
- เหมาะคนที่เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อเป็นหลักประกันให้กับครอบครัว และผู้อยู่ในความอุปการะ
- เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการเจ็บป่วยครั้งสุดท้ายและค่าทำศพ
- ใช้สำหรับชำระหนี้ก้อนสุดท้าย
2.แบบชั่วระยะเวลา (Term Insurance)
- เน้นความคุ้มครองระยะสั้น เลือกระยะเวลาคุ้มครองเองได้
- ไม่มีส่วนของการออมทรัพย์ และไม่มีเงินคืน หากอยู่ครบสัญญา
- ทุนประกันสูง เบี้ยถูก
- บริษัทฯ จ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์ เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลาเอาประกันภัย
วัตถุประสงค์
- เพื่อคุ้มครองการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
- ต้องการเบี้ยประกันราคาถูก
- มีหนี้สินเยอะไม่อยากให้เป็นภาระของคนรุ่นหลัง
3.แบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance)
- เน้นการออมทรัพย์ และได้ความคุ้มครองชีวิตด้วย
- อยู่ครบสัญญามีเงินคือให้ เสียชีวิตระหว่างสัญญาผู้รับประโยชน์ได้รับเงินทุนประกัน
- บริษัทฯ จะจ่ายเงินให้แก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา หรือจ่ายเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตลงภายในระยะเวลาเอาประกันภัย
วัตถุประสงค์
- ต้องการความคุ้มครอง และเงินออม
- ต้องการลงทุน แต่รับความเสี่ยงได้น้อย
- ใช้ลดหย่อนภาษี
4.แบบบำนาญ (Annuities Insurance)
- เน้นออมเงิน(คล้ายแบบสะสมทรัพย์ แต่ผลตอบแทนน้อยกว่า) และจ่ายคืนเป็นงวดๆ เหมือนบำนาญ
- บริษัทฯ จะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเท่ากันอย่างสม่ำเสมอให้แก่ผู้เอาประกันภัยทุกเดือนหรือทุกปี นับแต่ผู้เอาประกันภัยเกษียณอายุ หรือมีอายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปี เป็นต้นไป
- กำหนดเวลาการเริ่มจ่ายเงินบำนาญและระยะเวลาการจ่ายเงินบำนาญขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในกรมธรรม์ที่กำหนดไว้
วัตถุประสงค์
- ต้องการความคุ้มครอง เพื่อใช้ยามเกษียณ
- ต้องการวางแผนเกษียณ
อยากมีรายได้ที่แน่นอนหลังเกษียณ